มหาวิทยาลัย ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระนามราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

อัปเดตกฎหมายหย่า 2567 – เปลี่ยนอะไรบ้าง ใครฟ้องได้ ใช้กรณีไหน

Student blog — 28/11/2025

Educational
อัปเดตกฎหมายหย่า 2567 – เปลี่ยนอะไรบ้าง ใครฟ้องได้ ใช้กรณีไหน
เหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: การเปลี่ยนแปลงจากการแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567”
ตามกฎหมายครอบครัวก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 กำหนดให้ สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ถือว่าเป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่ายต้องอยู่กินหลับนอนร่วมประเวณีกับสามีหรือภริยาของตนเองที่เป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คนเราถ้ารู้จักยับยั่งชั่งใจตนเอง ระงับความมีราคะในใจได้ ประเด็นการหย่าร้างเพราะความไม่ซื่อสัตย์ในประเวณีของตนเองต่อคู่สมรสคงไม่เกิดขึ้น และเนื่องจากระบบกฎหมายของการอยู่กินร่วมกันระหว่างเป็นสามีภริยาของประเทศเรานั้น เป็นระบบผัวเดียวเมียเดียว การไปร่วมประเวณีกับผู้อื่นจึงเป็นความผิดต่อหน้าที่ของการเป็นสามีภริยาที่ดีนั่นเอง

กฎหมายครอบครัวเดิมจึงได้บัญญัติเหตุฟ้องหย่าไว้ตามมาตรา 1516(1) ว่า “สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

จากบทบัญญัติดังกล่าวนั้นนอกจากเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้แล้ว กฎหมายยังกำหนดบทลงโทษให้คู่สมรสที่เป็นจำเลยในคดีฟ้องหย่า (ฝ่ายผู้กระทำผิด) และบุคคลภายนอกที่เข้ามามีความสัมพันธ์ทางประเวณีกับสามีหรือภริยาของตน หรือแสดงตัวว่ามีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวกับสามีหรือภริยาของตน ให้ต้องชดใช้ค่าทดแทนจากมูลเหตุที่มีการฟ้องหย่าในกรณีตามมาตรา 1516(1) ได้อีกด้วย

เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1561(1) ดังกล่าวแยกสาเหตุได้ดังต่อไปนี้
  • สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี
    การไปอุปการะเลี้ยงดูในที่นี้ หมายถึง การที่สามีหรือภริยาไปรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพของผู้อื่น และต้องเป็นการเลี้ยงดูที่มีลักษณะต่อเนื่องอย่างถาวรเหมือนเลี้ยงดูสามีหรือภริยาของตนเอง เช่น ซื้อหรือเช่าบ้านให้อยู่อาศัย ให้เงินไว้ใช้จ่ายประจำทุกเดือน โดยตนเองไม่มีหน้าที่ต้องปฎิบัติเช่นนั้นต่อบุคคลนั้น เป็นต้น

    การยกย่อง คือ การแสดงออกของสามีหรือภริยาต่อบุคคลอื่นอาจจะโดยชัดแจ้ง เช่น พาไปจดทะเบียนสมรสและอยู่กินกันอย่างเปิดเผย หรืออาจอนุมานได้ว่ายกย่องบุคคลนั้นในฐานะสามีหรือภริยาตน เช่น แนะนำให้บุคคลทั่วไปทราบว่าเป็นสามีหรือภริยาของตนเอง โดยไม่ต้องถึงขนาดไปจดทะเบียนสมสรด้วยก็ได้

  • ภริยามีชู้หรือสามีเป็นชู้
    คำว่าเป็นชู้ (ตามพจนานุกรม) หมายถึง ร่วมประเวณีกับเมียผู้อื่น ส่วนคำว่ามีชู้ หมายถึง ล่วงประเวณีการชายอื่นที่มิใช่สามีของตน ดังนั้น หากภริยาไม่สมัครใจเช่นถูกข่มขืนกระทำชำเราจะเรียกว่ามีชู้ไม่ได้ และถ้าสามีไปร่วมประเวณีกับภริยาของชายอื่น ย่อมถือว่าเป็นชู้ แต่ถ้าหากว่าสามีหรือภริยาได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้คู่สมรสของตนมีชู้หรือเป็นชู้ย่อมจะฟ้องหย่าไม่ได้
  • สามีหรือภริยาร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ
    คำว่า ร่วมประเวณี (ตามพจนานุกรม) หมายถึง เสพสังวาสเป็นผัวเมียกัน ซึ่งหมายถึงการที่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงสมัครใจมีเพศสัมพันธ์กันโดยวิธีธรรมชาติ โดยฝ่ายชายเอาอวัยวะเพศของตนเองสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของฝ่ายหญิง

    ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวหากเป็นพฤติกรรมของภริยาย่อมถึอว่ามีชู้อยู่แล้วแม้จะร่วมประเวณีกับชายอื่นเพียงหนเดียวก็ตามโดยชายดังกล่าวนั้นจะเป็นโสดหรือมีภริยาหรือไม่ไม่สำคัญ ในขณะที่สามีหากไปร่วมประเวณีกับหญิงโสดก็ยังถือว่าเป็นชู้ไม่ได้ (เพราะไม่ได้ร่วมประเวณีกับหญิงที่มีสามีแล้ว) คงต้องพิจารณาต่อไปว่าได้ร่วมประเวณีกับหญิงอื่นเป็นประจำหรือไม่ หากร่วมเป็นประจำก็อาจถูกภริยาฟ้องหย่าได้

    เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายครอบครัวใหม่ เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยบัญญัติใหม่ว่า “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันคู่สมรส เป็นชู้หรือมีชู้ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ หรือกระทำการกับผู้อื่นหรือยอมรับการกระทำการของผู้อื่นเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

จากการแก้ไขดังกล่าวมูลเหตุในการฟ้องหย่า จึงแยกสาเหตุได้ดังต่อไปนี้
  • คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันคู่สมรส
    สืบเนื่องจากการสมรสเท่าเทียมกัน ซึ่งเพศเดียวกันสามารถสมรสกันได้ ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ทำให้กฎหมายเปลี่ยนข้อความที่บัญญติจากเดิม คือ จากสามีภริยา เป็น คู่สมรส ดังนั้นการไปอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันคู่สมรสคงไม่แตกต่างไปจากเดิมลักษณะคงเป็นอย่างเดียวกับที่อธิบายไว้ข้างต้น เพียงแต่การไปอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันคู่สมรส อาจไปกระทำต่อเพศเดียวกันกับตนเองหรือต่างเพศกับตนเองก็ได้ ซึ่งการไปปฎิบัติเช่นนั้นต่อผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำเยี่ยงคู่สมรสของตนเอง
  • เป็นชู้หรือมีชู้
    ผู้เขียนเห็นว่าเป็นชู้ หมายถึง คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (คู่สมรสฝ่ายที่เป็นเพศชาย) สมัครใจร่วมประเวณีกับภริยาของชายอื่น (ภริยาของชายอื่น หมายถึง ต้องเป็นคู่สมรสที่ต่างเพศกันด้วย) แต่มีนักกฎหมายบางท่านเห็นว่า เป็นชู้นั้น หมายถึง ชายที่เป็นคู่สมรส สมัครใจร่วมประเวณีกับหญิงที่มีคู่สมรสแล้ว โดยคู่สมรสของหญิงนั้นจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะเป็นชู้ ตามพจนานุกรมต้องร่วมประเวณีกับเมียผู้อื่น คือชายที่เป็นคู่สมรสต้องไปร่วมประเวณีกับหญิงที่มีคู่สมรสเป็นชายเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นชู้กับเมียผู้อื่น แต่ในกรณีที่ชายที่เป็นคู่สมรสไปร่วมประเวณีกับหญิงที่มีคู่สมรสที่เป็นหญิง จะเรียกว่าเป็นชู้ผู้อื่นได้อย่างไร ? (ระหว่างคู่สมรสที่เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ใครคือเมียใครเมียหรือใครเป็นผัวใคร) และตามมาตรา 67 ในกฎหมายเดียวกันนี้ความในวรรค 2 บัญญัติว่า “ความในวรรคหนึ่งมิให้นำมาใช้บังคับแก่กรณีที่บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ข้อบัญญัติ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดสิทธิ หน้าที่ สถานะทางกฎหมายหรือเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับสามี ภริยา หรือสามีภริยาไว้แตกต่างกัน” (ซึ่งคงต้องรอดูคำพิพากษาศาลฏีกาต่อไป)
  • ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ
    การร่วมประเวณีจะกระทำได้ต้องต่างเพศกันเท่านั้น (และสำหรับคู่สมรสที่เป็นฝ่ายหญิงถ้าไปร่วมประเวณีกับชายอื่นแม้นเพียงครั้งเดียวก็ถือว่ามีชู้แล้ว) ตามคำอธิบายข้างต้น (หัวข้อ 3)
  • หรือกระทำกับผู้อื่นหรือยอมรับการกระทำของผู้อื่นเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่นเป็นอาจิณ
การกระทำดังกล่าวข้างต้นนี้ไม่ว่าคู่สมรสฝ่ายใดกระทำต่อบุคคลอื่นเป็นอาจิณก็เป็นเหตุให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้แล้ว ตัวอย่างเช่น ชายผู้เป็นคู่สมรสกระทำชำเรากับชายอื่นหรือหญิงอื่นเป็นอาจิณ โดย กระทำชำเราทางทวารหนักหรือช่องปากกับหญิงอื่นหรือชายอื่น หรือใช้มือสำเร็จความใคร่กับหญิงอื่นหรือชายอื่นโดยต้องกระทำเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่นและกระทำเป็นอาจิณเป็นปกตินิสัย หรือยอมรับการกระทำดังกล่าวของผู้อื่นเพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่นเป็นอาจิณ หรือ หญิงผู้เป็นคู่สมรสกระทำการเพื่อสำเร็จความใคร่กับชายหรือหญิงอื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใด เช่น ยอมให้ชายอื่นกระทำชำเราทางทวารหนัก หรือยอมให้หญิงอื่นกระทำต่ออวัยวะเพศหรือช่องปากของตน แต่ต้องเป็นการกระทำหรือยินยอมรับการกระทำดังกล่าวเป็นอาจิณเป็นปกตินิสัย เป็นต้น (ซึ่งก็คงต้องรอดูคำพิพากษาศาลฏีกาต่อไปเช่นกัน)

📌 หากคุณต้องการเป็นนักกฎหมายที่มีทั้ง “ความรู้ทางกฎหมาย” และ “วิสัยทัศน์เพื่อโลกและสังคม” — เรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คือทางเลือกที่คุณไม่ควรพลาด!

📞 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเรียน ตามรายละเอียดข้างล่าง

การสมัครเรียน ป.ตรี สำหรับผู้จบการศึกษา ม.6 กศน. ปวช. ปวส. หรือเทียบโอน
ใช้กองทุน กยศ. หรือผ่อนชำระค่าเทอมได้

📌ข้อดี

  • 🖌️ จบแล้วได้ skill Certificate เฉพาะทาง
  • 🖌️ เรียนจบภายใน 3 ปีครึ่ง
  • 🖌️ มีสหกิจศึกษา พร้อมฝึกปฏิบัติงาน ก่อนทำงานจริง
  • 🖌️ เรียนต่อเนติบัณฑิตยสภาได้
  • 🖌️ สอบตั๋วทนายความได้
  • 🖌️ เรียนวิชาเฉพาะด้านที่ทันสมัยกับตัวจริง Guru
  • 🖌️ ได้รับการรับรองจาก ก.พ. และ อ.ว.

📌สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ ศูนย์รับสมัครนักศึกษาใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา

  • โทร: 0953675508/02-697-6000
  • 📥 สอบถามเพิ่มเติม หลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต
  • 📌 ID Line : 0953675508
  • 📌 IG : law_utcc
  • 📌Facebook: UtccLawSchool

มาเป็นครอบครัวหอการค้าด้วยกัน

📌สมัครเรียนง่ายได้ 3 ช่องทาง

  • สมัครเรียนออนไลน์ Line : @utcccare (อย่าลืม @) https://lin.ee/x53Mxlf
  • หรือ https://admissions.utcc.ac.th/ *สมัครแล้วอย่าลืมทักไลน์นะ
  • สมัครด้วยตนเองที่ ศูนย์รับสมัครนักศึกษาใหม่ ม.หอการค้าไทย อาคาร 24 (อาคารสัญลักษณ์) ชั้น 2
    ตั้งแต่เวลา 08.30 – 17.00 น. 📌พิกัดการเดินทาง: https://goo.gl/maps/JEY6UvPL8Qh8NyyM9

สอบถามเพิ่มเติม ศูนย์รับสมัครนักศึกษาใหม่ ม.หอการค้าไทย โทร 02-697-6969

แชร์บทความนี้
โปรโมชั่นแนะนํา

หลักสูตร